“เศรษฐา” ถือฤกษ์ดีเข้ากระทรวงคลัง 14 ก.ย.นี้ ขณะที่ “คลัง” เร่งหาแหล่ง เงินนำมาใช้ดิจิทัลวอลเล็ต ย้ำไม่กู้เงิน แต่จะใช้เงินตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ซึ่งมีหลายแหล่ง รวมถึงให้สถาบันการเงินของรัฐดำเนินโครงการไปพลางก่อน แล้วรัฐบาลเบิกเงินชดเชยภายหลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 14 ก.ย.2566 เวลา 14.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง พร้อมด้วยนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง พร้อมทีมงาน ได้ฤกษ์งามยามดี จะเดินทางเข้ากระทรวงการคลังอย่างเป็นทางการ เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงการคลัง หลังจากนั้นจะมอบนโยบายให้ผู้บริหารกระทรวงต่อไป

สำหรับภารกิจเร่งด่วน คือ นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป โดยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดแหล่งที่มาของงบประมาณว่าจะมาจากส่วนใดบ้าง ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 560,000 ล้านบาท และนโยบายพักหนี้เกษตรกร ซึ่งจะต้องพักทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย

ด้าน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาหาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) เพื่อแจกเงินดิจิทัลให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท ซึ่งต้องใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาทนั้น กระทรวงการคลังจะไม่ออก พ.ร.ก.เงินกู้พิเศษ แต่จะพิจารณาแหล่งเงินจากสถาบันการเงินของรัฐก่อน เพราะมีเงินงบประมาณที่สามารถนำมาใช้ได้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561

“ขอย้ำว่าขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ เพราะมีหลายแหล่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของรัฐ และขอยืนยันว่าไม่ขัดกับ พ.ร.บ.เงินตราที่กำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างแน่นอน เพราะไม่ได้ออกเงินสกุลใหม่หรือใดๆ อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนอดทนรออีกนิด ได้ใช้แน่นอน ตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจมาก เดี๋ยวจะสับสน หากมีความชัดเจน ทั้งแหล่งเงิน วิธีปฏิบัติและขั้นตอนต่างๆ รัฐบาลจะประกาศให้ประชาชนรับทราบอย่างแน่นอน”

นายกฤษฎากล่าวว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 เพราะจะดำเนินการแจกจ่ายในไตรมาสแรกของปีหน้า ส่วนจะมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะหมุนในระบบเศรษฐกิจกี่รอบ ส่วนการขยายตัวเศรษฐกิจในปีนี้นั้น คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 2.8% ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯคาดการณ์ไว้

สำหรับมาตรา 28 ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 นั้น กระทรวงการคลัง สามารถมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันการเงินของรัฐ ดำเนินโครงการมาตรการ หรือกิจกรรมเพื่อฟื้นฟู หรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม โดยให้สถาบันการเงินของรัฐ ออกค่าใช้จ่ายไปก่อน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระในการชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้จากการดำเนินการดังกล่าวในภายหลัง

ทั้งนี้ กรอบการใช้เงินตามมาตรา 28 นั้น คณะกรรมการวินัยการเงินการคลังแห่งรัฐ ที่นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะเป็นผู้กำหนดว่า ไม่ควรเกินกี่เปอร์เซ็นต์ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปี ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกิน 32% ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่ง ณ มิถุนายน ปี 2566 นี้ วงเงินตามกรอบดังกล่าวเกือบจะเต็มแล้ว เหลือวงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้เพียง 10,000 ล้านบาทเท่านั้น

นายกฤษฎากล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2567 กระทรวงการคลังคาดว่าจะมีวงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้ตามกรอบของมาตรา 28 มากกว่า 100,000 ล้านบาท และอาจมีวงเงินเหลือจากงบประมาณปีนี้ เนื่องจากโครงการได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่วงเงินยังเหลืออยู่ สามารถนำมารวมกับเงินในปีงบประมาณ 2567 ได้ ทั้งนี้ เป็นวิธีการจัดการบริหารเงินให้เพียงพอรองรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตได้อย่างแน่นอน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *